1. เรียนรู้ทุกอย่างจากประสบการณ์จริง
สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจใหม่ก็คือ การเติบโต นั้นไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญหรือสูตรสำเร็จใดๆ แต่มันเกิดจากการทดลองของหลากหลายสมมติฐาน ที่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของมันจะบอกคุณได้ว่าอะไรเวิร์คหรือไม่เวิร์ค จุดสำคัญของมันคือการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ จากการทดลอง ซึ่งถึงสุดท้ายแล้วคุณจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทดลองแต่ข้อมูลจากการทดลองแต่ละครั้งนั้น จะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คุณได้พบกับสิ่งที่จะทำให้คุณเติบโต
2. ให้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน
ข้อดีของการทำธุรกิจที่เป็น Digital Business นั้นก็คือ คุณสามารถวัดผลและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้จากข้อมูล โดยอย่างที่บอกไปในหัวข้อที่แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่บอกได้ว่าอะไรเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ดังนั้นทุกครั้งที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการตัดสินใจทำอะไร คุณไม่ควรจะคาดเดาจากสัญชาตญาณของเราเพียงอย่างเดียว ว่าลูกค้าจะชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่คุณควรใช้ข้อมูลเป็นตัวตัดสินร่วมด้วย แบบใน Diagram
3. ทดลองสิ่งใหม่
“การเติบโตเกิดขึ้นจากไอเดียที่สร้างสรรค์และการทดลองสิ่งใหม่ๆ”
อย่าตีกรอบตัวเองไว้อยู่ภายใต้สิ่งที่คู่แข่งของคุณทำ เพราะความจริงแล้วไอเดียของคุณเองอาจจะสร้างความสำเร็จให้กับคุณได้มากกว่าหลายเท่าเลยไม่มีใครมาบอกคุณได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีใครกำหนดสูตรสำเร็จได้ว่า คุณต้องส่งอีเมลไปหากลุ่มเป้าหมายกี่ครั้งพวกเขาถึงจะมาซื้อสินค้าของคุณ หรือไม่มีใครสามารถบอกคุณได้ว่ากลุ่มลูกค้าของคุณเองจะชอบวิธีการขายแบบเดียวกับที่คู่แข่งของคุณหรือเปล่า หลักการก็คือ หาข้อบกพร่องในกระบวนการที่คุณทำอยู่ แล้วปรับปรุงมัน มากกว่าการที่ไปทำตามคนอื่นที่อาจจะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิมหรือแย่กว่าด้วยซ้ำ
4. อย่าหยุดแค่ผลลัพธ์ที่ดีเพียงครั้งเดียว
การเติบโตนั้นไม่มีวันหยุด ต่อให้คุณจะสามารถพัฒนา Conversion rate ไปได้ถึง 95 % แล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณควรหยุดแค่ตรงนั้น เพราะจริงๆ แล้วตัวเลขนี้มันก็อาจจะเป็นสัญญาญที่บอกว่าคุณกำลังจะเติบโตขึ้นไปอีกเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณหยุดแล้วก็จะถือว่าพลาดโอกาสนั้นไปนั่นเอง
“อย่าหลงใหลกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นและหยุดที่เท่านั้น ท่องไว้เสมอว่าคุณทำได้ดีกว่าตัวเลขนี้”
5. กระบวนการมาก่อนเสมอ
อย่างที่เห็นว่าการทดลองนั้นเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเติบโต แต่มันยังเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการ ที่เรียกว่า Growth Process เท่านั้น โดยการทดลองนั้นจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการก่อนการที่จะปล่อยก่อนที่จะนำไอเดียไปทดสอบนั้นมาใช้จริง
6. การเติบโตที่แท้จริงคือการเติบโตแบบยั่งยืน
หลายคนอาจจะเข้าใจผิดและตื่นเต้นกับสิ่งที่ไม่ใช่การเติบโตที่แท้จริง “All Growth is not equal”
Brian Balfour ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีแอพพลิเคชั่น แล้วจ้าง Influencer ชื่อดังมาโปรโมท จนทำให้ตัวเลข MAU (Monthly Active Users) ของคุณพุ่งขึ้นในช่วงเดือนนั้น คุณอาจจะคิดว่ามันคือการ Growth Hacking ที่ทำให้เกิดการเติบโต แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่เพราะมันอาจแค่ได้ผลดีแค่ระยะสั้นๆ
7. เริ่มต้นด้วยสิ่งเล็กๆ ก่อนเสมอ
ถ้าคุณมีแพลนอยากเริ่มทดสอบเมื่อไหร่ คุณควรเริ่มต้นด้วยหลักการที่เรียกว่า MVT (Minimum Viable Tests) หรือพูดได้ง่ายๆ ว่ามันคือการทดสอบสมมติฐานกับสิ่งเล็กๆ ที่สามารถทำได้ง่าย และรวดเร็ว เพราะคุณต้องเข้าใจว่ากระบวนการของมันต้องกลับมาทำซ้ำใหม่ได้ คุณจึงควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ แล้วค่อยๆ ปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้ ลองนึกดูว่าถ้าคุณรอให้ทดลองทุกอย่างเสร็จก่อน หรือว่าเริ่มทดลองจากสิ่งใหญ่ๆ เลยทันที ถ้าเป็นเว็บไซต์คุณก็คงจะต้องมา Re-design เว็บไซต์ทั้งหมดทีเดียว ซึ่งก็อาจจะเสียเวลามากๆ กว่าจะได้ Luanch เว็บไซต์นั้น
8. Customer – Centric สิ่งหนึ่งที่จะมาควบคู่กับกระบวนการ Growth Process ก็คือการทำความเข้าใจลูกค้าอยู่เสมอ เพราะหากไม่สามารถทำได้ การเติบโตนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ถ้าเราคำนึงถึงตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างเดียว โดยไม่ได้มอบคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าสุดท้ายพวกเขาก็จะค่อยๆ หายไป ซึ่งวิธีที่ง่ายๆ ก็อย่างเช่น การคอยหมั่นสอบถามความพึงพอใจของพวกเขาระหว่างการใช้งานผลิตภัณฑ์สุดท้ายหากพวกเขาได้รับคุณค่าที่เรามอบให้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาก็จะไม่มีทางไปจากคุณ
9. จริยธรรมต่อลูกค้า หลายแบรนด์อาจจะมองข้ามจุดนี้ไป ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างอันตรายเพราะว่ามันเป็นจุดที่สามารถส่งผลถึงแบรนด์ได้อย่างชัดเจน
ลองสมมติว่า คุณกำลังทำแอพพลิเคชั่นที่มีฟังก์ชั่นคล้ายคลึงกับ Tinder ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้ามาหาคู่ได้ผ่านแพลตฟอร์มนี้ และเพื่อยอดผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้น คุณก็ได้สร้างบัญชีปลอมขึ้นมา และให้บัญชีเหล่านี้ทำเป็นเหมือนทักลูกค้าคนนึงไปให้รู้สึกว่ามีคนกำลังสนใจในตัวพวกเขาอยู่ เพื่อให้พวกเขายอมสมัครสมาชิกเพื่อที่จะได้เห็นว่า
ใครทักมา และสามารถเริ่มสนทนากับอีกฝ่ายได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วอีกฝ่ายนั่นก็คือบัญชีปลอมนั่นเอง
ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะสามารถเพิ่มผู้ใช้งานได้จริง แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขาได้เริ่มใช้งานและมารู้ความจริงในภายหลัง พวกเขาก็อาจจะรู้สึกไม่ดีต่อแบรนด์ ซึ่งส่งผลเสียต่อการเติบโตระยะยาว
10. ทีมที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง จากความเชี่ยวชาญหลายด้านและความรู้พื้นฐานที่มีติดตัวกันทุกคน จะทำให้สมาชิกในทีมสื่อสารตรงกัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้น กระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ จากจุดแข็งนี้เองทำให้ Growth Team มีข้อดีที่แตกต่างวิธีการทำงานเป็นกลุ่มแบบอื่นอย่างเห็นได้ชัดและการทำงานใน Growth Team จะใช้รูปแบบที่เรียกว่า Agile และ Cross functional
NEX Digital การตลาดออนไลน์จาก 0 ถึง 100 จับมือทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ด้วยประสบการณ์จริงจากเอเจนซี่
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์: www.nexdigitalmarketing.net
Tel : 095-686-5591
Comments